ครับหนังสือผมมีในมือน้อยมาก
แต่ภาพ 30+ นี้่ ถือเป็นมาตราฐานต่ำสุด
ส่วนมากผมอัดไปที 50 - 600 ภาพ
อ่านไม่ผิดหลอกครับ
ผมใส่ไปขนาดนั้นจริงๆ
และเล่นเอาเหงื่อไหลเลย
เพราะบางเล่มผมต้องนั่งแปล จากภาษาฝรั่งเศส หรือ ฮอลแลนด์ ต้นฉบับที่มีภาพ
เอาภาพไปแทรกใน ฉบับ อังกฤษที่ไม่มีภาพ
แต่ผมก็เลือกที่จะทำ
เคล็ดลับง่ายๆคือ ผมตั้งใจจะทำ หนังสือเป็นเล่ม
เหนื่อยแค่นี้ สิวๆเลย
เทียบกับคนเขียนงาน (เจ้าของที่ตายไปแล้ว)
คนวาดภาพ ( กว่าจะได้แต่ละภาพ แต่ภาพไม่มีลิขสิทธิ์แล้ว บางอันไม่ได้เอากลับมาใช้อีกเลยน่าเสียดาย ผมเชื่อว่า พวกเขาเหล่านี้อุทิศเวลาไปมากกว่าผมมากมายนัก)
หลักคิดของผมคือ
ผมทำงานเพื่อเชิดชูผลงาน ของคนที่ผมหยิบงานมาใช้ด้วย
เพราะในฐานะนักอ่าน วรรณกรรม หรือ หนังสือดีๆ ที่เป็นงานชั้นครูในอดีต
ผมเห็นว่า ผมเป็นหนี้คนพวกนี้มาก เพราะผมได้ไอเดียร์อะไรใหม่ๆมาทำงานหรือ หลักคิดในชีวิตเพิ่มเติม
ในส่วนที่ผมไม่ีมีประสบการณ์
สมัยเด็กๆผมไม่เคยอ่านนิยายเลย และไม่เคยคิดจะอ่านเพราะเห็นเป็นเรื่องไร้สาระ
พึ่งมาอ่านตอน แฮรี่ดังๆนั่นล่ะครับ
ทำให้ผมเปิดโลกใหม่ และทำให้เห็นคุณค่าของงานวรรณกรรมมากขึ้น เมื่อได้อ่านมากขึ้นๆ
การอ่านวรรณกรรม กับ การอ่านหนังสือแนวบริหารธุรกิจ นิสัยของคนอ่านจะแตกต่างกัน
การอ่านวรรณกรรม คือการ เสพอาร์ต อารมณ์ศิลป์ คนกลุ่มนี้จะสะสมงาน ต่อให้มี 10เวอร์ชั่น ก็ซื้อจนครบ ถ้ามันแตกต่างและถูกใจ
ส่วนคนที่อ่านหนังสือธุรกิจ กลุ่มนีจะเสพข้อมูล หนังสือจะไม่ซื้อซ้ำเป็นอันขาด
อ่านจบแล้ว ให้ข้อคิด เอาไปปรับปรุงชีวิต บรรทัดเดียวก็เอา ถือว่าคุ้มใช้ได้
นักธุรกิจ กับ ศิลปิน จะ คิดต่างกัน
การทำหนังสือ ก็ควรมองดูว่า นิสัยกลุ่มลูกค้าเราเป็นแบบไหน คิดอย่างไร
โดยมองจากตัวเราเอง
ถ้าคุณเป็นลูกค้า คุณชอบสินค้าแบบไหน
ถ้าคุณเป็นลูกค้า เพราะอะไรคุณถึงติดตามแบรนด์หนังสืือนั้นๆ
คุณชอบที่จะเอาเปรียบ หรือ ถูกเอาเปรียบ
หรือชอบที่จะรู้สึกดีๆที่ได้แบ่งปันสิ่งดีๆให้กัน
คำตอบนั้นๆจะสร้างผลงานออกมาแสดงความเป็นคุณ
เงินไม่ใช่คำตอบของทุกสิ่ง ถ้าคุณคิดแค่ว่า ทำอย่างไร จะได้เงินมากๆ
คุณก็จะเป็นหมาไล่ล่าเนื้อตลอดชีวิต
แต่ถ้าคุณทำงานให้ได้คุณภาพมาก
ในตลาดของการแข่งขัน มีลูกค้าสักกี่คน ที่ไม่ต้องการของดีมีคุณภาพ
ราคาประทับใจซื้อแล้วเหมือนเราได้กำไร
ถ้าตัวเราเองยังประทับใจในผลงานตัวเองไม่ได้
จะไปเรียกร้องให้ใคร ประทับใจผลงานของเราจริงไหมครับ